คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย

แทบไม่มีครั้งใดในประวัติศาสตร์ที่จะมีนักธุรกิจที่มิได้ถือกำเนิดเกิดในสหรัฐอเมริกา แต่กลับเข้าไปมีทั้งอิทธิพลทั้งทางการเมืองและด้านเศรษฐกิจอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งบุคคลที่กล่าวถึงนี้ก็คือ “อีลอน มัสก์” อภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งของโลก โดยขณะนี้เขาก็ยังเข้าไปเป็นอัศวินคู่ใจคนใหม่ของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”อีกด้วย

ในการแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คราวที่แล้ว อิลอน มัสก์ได้กลายเป็นเจ้าบุญทุ่มบริจาคเงินสนับสนุนให้ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้หาเสียงถึง 277 ล้านดอลลาร์ นับว่าเขาคือผู้บริจาคเงินรายใหญ่ที่สุดเลยทีเดียว!!!

และเนื่องจาก อิลอน มัสก์ เป็นเจ้าของโซเชียลมีเดีย “X” ที่มียอดผู้เข้าใช้มากถึง 650 ล้านวิวต่อเดือน ที่เขาซื้อต่อมาจากเว็ปไซด์ยอดนิยมชื่อดัง “Twitter” ด้วยวงเงิน 44 พันล้านดอลลาร์  โดยเขาใช้โซเชียลมีเดียนี้ประชาสัมพันธ์และโฆษณาชวนเชื่อนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์แบบย้ำๆซ้ำๆ เพื่อต้องการที่จะให้ทั้งคนอเมริกันและทั้งฐานเสียงที่สนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์เกิดความเชื่อและคล้อยตาม

 โดยเฉพาะการโพสต์ประโคมข่าวในเรื่องที่ชาวต่างชาติเดินทางทะลักหลั่งไหลเข้าสหรัฐฯทางตอนใต้ของพรมแดนระหว่างสหรัฐฯกับเม็กซิโกเดือนละเป็นหมื่นคน  ซึ่งอีลอน มัสก์โฆษณาชวนเชื่อว่า มีผลทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯต้องเลวร้ายลง จนชาวอเมริกันชักหน้าไม่ถึงหลัง(ข้อมูลจากhttps://adamconell.me)

ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวในสมัยที่สอง อีลอน มัสก์ ก็ได้กลายเป็นคู่หูที่ปรึกษาที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเขาได้มอบหมายให้อีลอน มัสก์ เข้าไปรับหน้าที่ดูแลหน่วยงานใหม่ที่เพิ่งตั้งขึ้นที่เรียกว่า “Department of Government Efficiency” หรือเรียกสั้นๆว่า “DOGE” โดยหน่วยงานที่เขาตั้งขึ้นมาใหม่นี้เน้นหนักทางด้านการลดงบประมาณของรัฐบาลกลาง!!!

ทว่าจากผลการสำรวจของ “The Economist” ที่จับมือร่วมกับสำนักหยั่งเสียงชื่อดัง “YouGov” ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งในสมัยที่สองใหม่หมาดๆ โดยตอนนั้นดูเหมือนว่าคะแนนนิยมของอีลอน มัสก์ ที่ได้รับจากสมาชิกค่ายพรรครีพับลิกันมีสูงถึง 47%  โดยมีคะแนนนิยมสูงพอๆกับคะแนนของประธานาธิบดีทรัมป์เลยทีเดียว

แต่เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน กลับปรากฏจากผลการหยั่งเสียงของสองสำนักหยั่งเสียงเดิมที่ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2025นี้ว่า ขณะนี้คะแนนนิยมที่นักการเมืองพรรครีพับลิกันมีต่อ อีลอน มัสก์ ตกฮวบลงเหลือแค่เพียง 26% เท่านั้น (ข้อมูลจาก The New Republic: Elon Musk’s Ego Sure to Get Massive Blow, February 6, 2015, The Hill: GOP support for Musk influence with Trump: 2/05/2025; Newsweek, Republicans Are changing their minds: Feb 06, 2025)

และจากผลการสำรวจล่าสุดนี้นับได้ว่า ขณะนี้อีลอน มัสก์ กำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากบรรดานักการเมืองในค่ายพรรครีพับลิกันที่เริ่มจะหมดศรัทธา แถมยังสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเขาเป็นอย่างมาก

อีกทั้งโพลของ “สถานีโทรทัศน์ซีบีเอส” ที่จัดทำร่วมกับ “สำนักหยั่งเสียง YouGov” ที่ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2025 ว่า ชาวอเมริกันกว่าครึ่งไม่ต้องการที่จะให้อีลอน มัสก์ เข้าไปใกล้ชิดกับประธานาธิบดีทรัมป์  โดยอีก 31% ระบุว่า ไม่ต้องการที่จะให้อีลอน มัสก์ เข้าไปมีส่วนบริหารจัดการปฏิรูปหน่วยงานภาครัฐของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตามการที่ทีมงานของอีลอน มัสก์ กำลังมีการเคลื่อนไหว เพื่อต้องการที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สามารถจะเข้าถึงข้อมูลทั้งในระบบการเงิน และข้อมูลลับ มีผลทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของภาครัฐหวั่นวิตกและกังวลว่า บรรดาทีมงานของอีลอน มัสก์ กำลังจะเข้าไปฝ่าฝืนล่วงละเมิดกฎระเบียบของหน่วยงานรัฐบาล

นอกเหนือจากนั้น อีลอน มัสก์ ยังได้รับไฟเขียวจากประธานาธิบดีทรัมป์ สั่งปิดองค์กรยักษ์ใหญ่นั่นก็คือ “องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา “United States Agency for International Development หรือที่เรียกสั้นๆว่า“USAID” ที่ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ. 1961 หรือเมื่อ 63 ปีก่อน โดย “ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี” มีวิสัยทัศน์ต้องการที่จะให้องค์นี้เป็นศูนย์รวมของเหล่าองค์กรความช่วยเหลือต่างๆ อาทิเช่น บรรเทาทุกข์ด้านภัยพิบัติ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ปกป้องสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตย และส่งเสริมด้านการศึกษา และยังเป็นแขนขาของกระทรวงต่างประเทศ โดยขณะนี้องค์การนี้ครอบคลุมไปถึง 120 ประเทศทั่วโลก ที่มีงบประมาณประจำปีถึง 40 พันล้านดอลลาร์

ทั้งนี้องค์การ USAID มีภารกิจส่วนใหญ่อยู่ในแอฟริกา เอเชีย และประเทศในแถบละตินอเมริกา โดยเมื่อองค์การนี้ถูกยุบลงอย่างกระทันหัน แน่นอนว่าส่งผลกระทบกระเทือนไปทั่วโลก

โดย “เอกอัครราชทูตปีเตอร์ วรูแมน”ของสหรัฐฯ ประจำโมซัมบิก มืออาชีพนักการเมืองสามสิบห้าปีได้ส่งสารด่วนถึง “รัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ” โดยท่านเอกอัครราชทูตระบุว่า “หากหน่วยงามบรรเทาทุกข์หลักของสหรัฐฯถอนตัวออกจากโมซัมบิก จะส่งผลเสียหายอย่างมหาศาล เพราะโครงการช่วยเหลือมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ส่วนใหญ่แล้ว เป็นการช่วยเหลือในด้านมนุษยธรรม (สำเนาเคเบิลนี้ถูกเปิดเผยลงใน “หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์” เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2025)

นอกเหนือจากนั้น[vs1] เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2025 ที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันนี้ “ผู้พิพากษาคาร์ล นิโกลส์” แห่งศาลแขวงเขตโคลัมเบีย ที่ได้รับแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อปีค.ศ. 2019 ได้ตัดสินให้ระงับการสั่งปิด องค์การUSAID เป็นการชั่วคราว โดยจะมีการพิจารณาเพิ่มเติมอีกครั้ง ในวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2025

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนี้ “องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา” หรือ United States Agency for International Development มีพนักงานที่ทำงานในองค์กรนี้ถึง 140,000 คนใน 120 ประเทศทั่วโลก โดยเป็นองค์การด้านมนุษยธรรม ที่มองๆไปแล้วมิใช่เป็นองค์กรที่แอบแฝงด้านโฆษณาชวนเชื่อ และแน่นอนว่าเมื่อองค์กรนี้ต้องถูกยุบยุติบทบาทลงผลกระทบจะเกิดขึ้นกับทั้งคนอเมริกันนับแสนที่ต้องตกงาน และประเทศด้อยพัฒนาที่เคยได้รับความช่วยเหลือก็ต้องได้รับผลกระทบอย่างมหาศาล แต่ทั้งหมดทั้งมวลคงจะต้องมีการถกเถียงกันอีกยาวนานละครับ